วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

เรื่องที่5 ประวัติความเป็นมาของการโฆษณาในประเทศไทย

            ไม่ได้ระบุไว้แน่ชัดว่าการโฆษณาเกิดขึ้นเมื่อไรแต่เข้าใจว่าการ โฆษณาของไทยนั้นคงมีมา
แต่ครั้งโบราณกาลนับตั้งแต่คนไทยเริ่มมีสินค้า มีคนขายและคนซื้อ การโฆษณาสินค้าของคนไทย
ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ คือ การร้องขายสินค้าของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายโดยอาศัยการบอกกล่าวขายสินค้าของตนไปยัง ลูกค้าโดยตรง ซึ่งรูปแบบของการโฆษณาสินค้าในลักษณะนี้ยังคงสืบทอดมา
จนกระทั่งปัจจุบันดังจะเห็นได้จากบรรดาหาบเร่ รถเข็น และพัฒนา รูปแบบ มาเป็นรถบรรทุกเล็ก 
ที่วิ่งขายสินค้าไปตามแหล่งชุมชนและที่อยู่อาศัยเพื่อขายสินค้าทั่วไป


ย้อนหลังไปประมาณ เกือบ 200 ปี การโฆษณานั้นเป็นแนวความคิดที่เกิดขึ้น และพัฒนามาจากประเทศกลุ่มตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ได้แพร่ขยายเข้าสู่ประเทศไทยครั้งแรกพร้อมๆ กับการพัฒนาของสื่อมวลชนชนิดแรก คือ หนังสือพิมพ์วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2387 นายแพทย์ Dan Beach Bradley ได้ออกหนังสือพิมพ์ภาษาไทยชื่อ หนังสือจดหมายเหตุฯ หรือ The Bangkok Recorder โดยออกเป็นรายปักษ์ความหนาจำนวน 8 หน้า ด้วยยอดพิมพ์ 300 ฉบับ และพร้อมกำเนิดของหนังสือพิมพ์
ฉบับแรกนี้โฆษณาชิ้นแรกของไทยก็ได้ปรากฎขึ้น ด้วย นั่นคือ โฆษณาของอู่ต่อเรือบางกอกด๊อก และนับจากนั้นมา เมื่อมีนิตยสารอื่นๆ เกิดขึ้น ก็จะมีสินค้าลงโฆษณาในนิตยสารเหล่านั้นด้วยแทบทุกฉบับ



รากฐานของการจัดทำ โฆษณาอย่างเต็มรูปแบบ ถูกวางพื้นฐานขึ้น เมื่อ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ 
กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ได้ทรงตั้งแผนกโฆษณากรม รถไฟ พร้อมทั้งการวางแผนและหลักปฏิบัติงานโฆษณาไว้ให้อย่างดี โดยทรงนำเอาตัวอย่างแผน การโฆษณากิจการรถไฟในประเทศอังกฤษ มาใช้ในเมืองไทย เป็นครั้งแรก ต่อมาได้ทรงวางแผนและทรงรณรงค์โฆษณา ให้กับการคลังออมสินจนประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง การโฆษณาครั้งนั้นได้กลายเป็นรูปแบบปฏิบัติของ การพัฒนามาตราบเท่าทุกวันนี้




           เมื่อธุรกิจการค้า ขยายตัว การสื่อสารเพื่อแจ้งข่าวสารต่อมวลชนจึงทวีบทบาทสำคัญมากขึ้น 
โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 6 การโฆษณาเจริญมาก เพราะ เป็นหนังสือพิมพ์และนิตยสารได้เปลี่ยนมือผู้บริหาร จากการเป็นของเจ้านายมาสู่สามัญชน และต้อง ดำเนินการในรูปธุรกิจเพื่อเลี้ยงตัวในรอด การโฆษณาจึงได้กลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่สุดของหนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชน ประเภทอื่นๆ ในเวลาเดียวกันการโฆษณาก็ได้กลายมาเป็นเครื่องมือทางการตลาดกิจการค้า อีกด้วยในปี พ.ศ. 2467 
มีเหตุการณ์ สำคัญอีกอย่างหนึ่งของวงการโฆษณาเกิดขึ้น นั่นคือ ได้มีบริษัทที่รับจ้างทำงานโฆษณา
เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกดำเนินงานในลักษณะของบริษัทโฆษณาท้องถิ่นชื่อ บริษัทสยามแอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด จากการก่อตั้งของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชร อัครโยธิน และผู้เล็งเห็นประโยชน์อย่างคุ้มค่าของการใช้บริการจากบริษัทโฆษณารายแรกคือ ห้างนายเลิศ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีสินค้า หลายประเภท

               นอกจากนี้ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ยังได้ทรงถ่ายทำภาพยนตร์สารคดี เกี่ยวกับอุตสาหกรรมของเมือไทย เช่น โรงงานสบู่ของบริษัท สยาม อินดัสตรี จำกัด ผู้ผลิตสบู่ซันไลต์ เป็นต้น ฉะนั้น การเกิดของ บริษัท สยามแอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด ย่อมแสดงให้เห็นว่า การโฆษณาในสมัยนั้น
เจริญรุ่งเรือง จนกระทั่งมีผู้คิดทำธุรกิจเกี่ยวกับการโฆษณาขึ้น ในรูปของบริษัทการค้า ซึ่งถือว่าเป็น
ต้นกำเนิดของธุรกิจโฆษณาในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น โดยเปลี่ยนจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายสินค้าติดต่อโดยตรง กับเจ้าของสื่อโฆษณา มาเป็นตัวกลางรับจัดทำโฆษณา และติดต่อสื่อสารต่างๆให้ ซึ่งเป็นลักษณะของธุรกิจการ โฆษณาในปัจจุบัน การที่กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินทรงเป็นผู้บุกเบิก และนำเอากิจการโฆษณาแบบตะวันตก เข้ามาใช้ในกิจการหลายแห่ง และ บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย
เป็นอย่างดี หลักการปฏิบัติก็ยังคงทันสมัยอยู่เสมอ จึงทำให้พระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็น 
พระบิดาแห่งวงการโฆษณาไทย





เรื่องที่4 การจัดภาพสิ่งพิมพ์โฆษณา

   การจัดภาพโฆษณาเป็นการกําหนดตําแหน่งของภาพข้อความ องค์ประกอบต่าง ๆให้ดูสวยงาม
อ่านง่ายสื่อความหมาย ได้ชัดเจนรูปแบบของการจัดภาพโฆษณามีรูปแบบดังนี้


1 แบบมองเดรียน (Mondrian Layout)

แบบมองเดรียนตั้งชื่อตามจิตรกรชาวดัชชื่อ Piet Mondrian  มองเดรียนใช้เวลาตลอดชีวิตศึกษา
เรื่องสัดส่วนโดยลากเส้นตามแนวตั้งและแนวนอนแบ่งบริเวณพื้นภาพออกเป็นช่องสี่เหลี่ยม
แล้วเติมเส้นหรือแท่งสีลงไปในบริเวณที่ถูกแบ่งนักออกแบบโฆษณา มักนิยมใช้หลักของ มองเดรียนโดยใช้รูปสี่เหลี่ยของตัวพิมพ์หรือภาพประกอบของสินค้าเหมือนกับ ที่มองเดรียน ใช้แท่งสีบางครั้งนักออกแบบเองก็สร้างเส้นหรือแท่งไว้บนภาพเพื่อแยกส่วนประกอบออกจากกันเหมือนกับมองเดรียน




2 แบบแถบซ้อน (Multipanel layout)

แบบแถบซ้อน มีลักษณะเป็นกลุ่มภาพขนาดเล็กหลายๆภาพที่มีขนาดใกล้เคียงกัน วางซ้อนทับกัน
ภาพแต่ละภาพจะเอียงไขว้กันไปมา ดูแล้วเกิดความเคลื่อนไหวสนุกสนาน


3 แบบช่องภาพ (Picture window layout)

                                
แบบช่องภาพ เป็นแบบที่นิยมมากกว่าแบบมองเดรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแบบที่เหมาะกับ
นิตยสาร เพราะภาพจะไม่เข้าไปอยู่ในบริเวณที่เหลือจากบทความ.....การจัดแบบช่องภาพนี้ ภาพจะเป็นตัวหยุดผู้ดู ใต้ภาพมักจะมีตัวอักษร บทความอาจแตกออกเป็นคอลัมน์สั้นๆกระจายออกจากกัน.....เพื่อจะรวมภาพเข้ากับ บทความ มักจะพิมพ์พาดหัวทาบลงไปบนภาพ หรือพิมพ์บทความซ้อนภาพ ภาพโดยปกติจะอยู่ส่วนบน แต่มิได้มีข้อจำกัดเสมอไป














4 แบบภาพเงา (Silhouette layout)


แบบภาพเงา ใช้ภาพถ่ายขนาดใหญ่เต็มหน้ากระดาษ ตัดเอาแต่เฉพาะตัววัตถุที่สำคัญเพียงบางส่วน
วางลงบนพื้นสีเข้มจัดหรืออ่อนมากๆ พยายามยืดส่วนประกอบให้ไปจรดขอบเพื่อมิให้ภาพเงาลอย และเพื่อสร้างความแตกต่างให้ดูโดดเด่น ภาพที่ออกมาจะดูเหมือนรอยทาบของเงาบนพื้นหรือเหมือน
ภาพบนจอหนังตลุงภาพเงายิ่งมีลักษณะแปลกตาเท่าไร ยิ่งทำให้โฆษณาชวนมองเท่านั้น



5 แบบกรอบ (Frame layout)

แบบกรอบ ใช้กันมากในโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์มากกว่าหน้านิตยสาร ส่วนประกอบต่างๆ
จะถูกล้อมไว้ในกรอบ ปิดกั้นมิให้ไปพัวพันกับโฆษณาอื่นบนหน้าเดียวกัน ...แบบกรอบมักจะนิยม
วางงานศิลปะไว้รอบๆ ทำเป็นวงล้อมบริเวณที่เป็นบทและพาดหัวหรืออาจใช้ภาพถ่าย หรือภาพเต็ม
ทั้งหน้าแล้วพิมพ์ตัวอักษรลงบนภาพ



6 แบบหนักบท (Copy heavy layout)

แบบหนักบท ผู้โฆษณาจะใช้แบบหนักบทด้วยเหตุผลสองประการ คือ
.....1. สิ่งที่ต้องการจะบอกเป็นเรื่องสำคัญ มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ มีศักดิ์ศรีเกินกว่าจะบอกเป็นภาพได้
.....2. โฆษณาของคนอื่นสื่อประเภทเดียวกัน เป็นโฆษณาประเภทช่องภาพหรือมีภาพมากอยู่แล้ว
แบบหนักบทจึงเท่ากับเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ...ด้วยเหตุที่ว่าแบบหนักบทเป็นแบบที่ค่อนข้างเครียดกว่าแบบอื่นๆ จึงต้องเน้นที่การจัดเรียงส่วนประกอบต่างให้ได้ระบบตารางมากเป็นพิเศษ


7 แบบภาพปริศนา (Rebus layout)

แบบภาพปริศนา ใช้ภาพเล็กๆมาสอดแทรกระหว่างประโยคแทนคำเขียนในแบบโฆษณาประเภทนี้
เราจะเห็นภาพปรากฏอยู่ในประโยคเป็นครั้งคราว โดยปกติผู้โฆษณามักไม่นิยมปริศนา แต่จะนิยมความชัดเจน จะพบว่าบางครั้งที่ต้องการความแปลกใหม่รวมทั้งความชัดเจนในเวลาเดียวกัน ก็จะเขียนภาพประกอบซ้ำคำๆนั้นลงไปอีก ภาพอาจมีขนาดแตกต่างกันออกไป





8 แบบละครสัตว์ (Circus layout)

แบบละครสัตว์บางครั้งเราจำเป็นต้องสร้างงานที่ดูแล้วเกิดความรู้สึกว่าหลายหลากและวุ่นวายลงบนแบบโฆษณา ทำให้เป็นการชะลอผู้ดูให้รู้สึกลำบากที่จะดูว่าอะไรเป็นอะไรได้อย่างทันที...  
โครงสร้างของชิ้นงานจะต้องมีลักษณะที่มี  เนื้อหาสาระแบ่งได้เป็นหัวข้อหลาย ๆ หัวข้อ แต่ละหัวข้อจะมีเนื้อความและภาพประกอบเป็นของตัวเองเนื้อความจะยังคงถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบตามระบบตาราง แต่ตัวภาพประกอบอาจจะจัดวางให้คร่อมคอลัมน์ เอียงโยกโย้ไปมาเพื่อให้ดูรู้สึกว่าวุ่นวายเหมือนอยู่ในสวนสนุกหรือโรงละครสัตว์


9 แบบแรงดลใจจากตัวอักษร (Alphabet inspired layout)

แบบแรงดลใจจากตัวอักษร ความงามของตัวอักษรที่ประดิษฐ์ประดอยมากเป็นพิเศษ อาจเป็นที่มาของแรงบันดาลใจ...ภาพโฆษณาซึ่งยึดรูปร่างลักษณะตัวอักษรเป็นหลัก โดยปกติจะมีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนและชักนำสายตาได้ดี นักออกแบบจะต้องพยายามจัดเรียงในลักษณะที่ไม่บอกอย่างโจ่งแจ้งว่า
เป็นอักษรอะไรอักษรควรใช้เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น ผู้ดูโดยปกติจะไม่รู้สึกตัวว่าการจัดเรียงส่วนต่างๆนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นตัวอักษรหรือตัวเลขดลใจสำหรับนักออกแบบ


10 แบบตัวอักษรใหญ่ (Big type layout)

แบบตัวอักษรใหญ่ ตัวอักษรขนาดใหญ่มักเป็นที่สนใจสำหรับนักออกแบบและผู้ดู เพราะมันจะมีรูปร่างที่ชวนมอง นักออกแบบต้องศึกษาตัวอักษรรูปแบบต่างๆ โดยคำนึงถึงว่า ตัวอักษรในบางครั้ง ก็มีบทบาทมากกว่างานศิลปะหรือภาพสวยๆโดยทั่วไป





เรื่องที่3 ประเภทของงานโฆษณา


1. Brand advertising
เป็นลักษณะโฆษณาตราสินค้า  โดยเน้นสัญลักษณ์รูปภาพที่ให้นึกถึงตัวสินค้า โฆษณาประเภทนี้เหมาะสำหรับสินค้าที่เป็นที่จดจำอยู่แล้วหรือเป็นสินค้าที่สร้างแบรนด์มายาวนาน




2. Trade advertising
การโฆษณาทางการค้า (Trade Advertising) เป็นการสื่อสารระหว่างผู้ผลิตกับผู้แทนจําหน่ายเพราะถือเป็นส่วนแรกที่จะแนะนําสินค้าจากบริษัทผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค ทั้งนี้เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจที่จะรับสินค้าไว้จําหน่าย


3. Retail advertising 
 การโฆษณาค้าปลีก (Retail Advertising) เป็นการโฆษณาที่ไม่ได้มุ่งที่ตราสินค้าแต่เป็นการโฆษณาสถานที่ จําหน่าย หรือผู้ประกอบธุรกิจขายปลีกเพื่อให้ ผู้บริโภคมา ซื้อสินค้าหรือบริการ ณ สถานที่จําหน่าย เป็นการโฆษณา ในท้องถิ่น


4. Professional advertising   
เป็นการโฆษณาที่มุ่งไปยังบุคคลในวงการวิชาชีพต่างๆเพื่อ จูงใจให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้แนะนําลูกค้าของตนให้ซื้อสินค้า ที่โฆษณา จึงเหมาะกับสินค้าที่ผู้บริโภคต้องฟังความคิดเห็นหรือคําแนะนําจากผู้ที่มีความชํานาญพิเศษ



5. Corporate advertising 
เป็นการโฆษณาที่มุ่งเน้นสร้างภาพลักษณ์ให้องค์กหรือสร้างการรับรู้ให้ภายนอกรับรู้ว่าองค์กรทำอะไร


6. Idea advertising
การโฆษณาแนวความคิด (Idea Advertising) เป็นการเสนอความคิดเห็นไปสู่กลุ่มประชาชนเป้าหมาย เพื่อให้เกิดการยอมรับ ความคิดเห็นเป็นการสร้างภาพพจน์หรือสร้างค่านิยมขึ้นใหม่

                         


7. การโฆษณาแยกประเภท (Classified Advertising)

เป็นการโฆษณาย่อยใช้เนื้อที่ขนาดเล็ก มีแต่เฉพาะข้อความสั้น ๆ หรืออาจมี ภาพประกอบเราจะพบเห็นได้ตามหน้า

หนังสือพิมพ์หรือนิตยสารเช่น การโฆษณาซื้อ ขาย การรับสมัครงาน




เรื่องที่2 วัตถุประสงค์ของงานโฆษณา


1.การโฆษณาเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจ (Comprehensive Advertising)
          การให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับสินค้าและบริการ สามารถทำได้ดังต่อไปนี้ คือ

1.1 การโฆษณาให้ความรู้ เกี่ยวกับประเภทของสินค้าและบริการ เช่น สินค้าเกษตรกรรม สินค้าอุตสาหกรรม
1.2 การโฆษณาให้ความรู้ เกี่ยวกับความสำคัญของสินค้าและบริการโดยเฉพาะสินค้าที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของ  มนุษย์ เช่น อาหาร ยารักษาโรค
1.3 การโฆษณาให้ความรู้ เกี่ยวกับประโยชน์ของสินค้าและบริการ เช่น การโฆษณาคุณสมบัติของยารักษาโรค
1.4 การโฆษณาให้ความเข้าใจ เกี่ยวกับแนวคิดใหม่ของการโฆษณาเกี่ยวกับสินค้าและบริการโดยการใช้ชื่อโฆษณาแบบ   ใหม่การใช้ความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนการทำให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมในการโฆษณา
1.5 การโฆษณาให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับกระบวนการผลิตสินค้า นับตั้งแต่เริ่มต้นจนสำเร็จเป็นสินค้าสำเร็จรูป


                   


2.ให้ข่าวสารของการโฆษณาที่เป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภ มีหลายประเภท คือ

2.1 ข่าวสารการตลาด เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพเหตุการณ์ของการตลาด
2.2 ข่าวสารการลงทุน เป็นการให้ข้อมูลทางด้านการลงทุนเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในสินค้าและบริการ
2.3 ข่าวสารสินค้าและบริการใหม่ เป็นการบอกกล่าวและให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าใหม่ หรือบริการใหม่ๆเพื่อให้ผู้บริโภค   มีโอกาสพิจารณาเลือกซื้อ
2.4 ข่าวสารราคาสินค้าและบริการ เป็นการใช้ข้อมูลด้านราคาเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจและนำไปสู่การซื้อ สิน
และบริการ
2.5 ข่าวสารการส่งเสริมการขาย เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการขาย เช่น การตลาด การแจกการแถม ของกำนัล เป็นต้น

              


3.การโฆษณาเพื่อชักจูงใจ (Persuasive Advertising)

    การโฆษณาเพื่อชักจูงใจนั้นจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดกับผู้บริโภค ทำให้เกิดการคล้อยตามที่จะซื้อสินค้าและบริการ สามารถใช้หลักการดังนี้ คือ

3.1 จูงใจให้เกิดความสนใจที่จะซื้อสินค้าและบริการ - การโฆษณานี้ ต้องชี้แนะให้ผู้บริโภคเกิดความประสงค์ในการใช้    สินค้าและบริการ เมื่อผู้บริโภคใช้สินค้าและบริการแล้ว จะมีความสะดวกสบาย
3.2 จูงใจให้เกิดความประทับใจในสินค้าและบริการ - การโฆษณาต้องสร้างความประทับใจกับผู้บริโภค โดยใช้ศิลปของการสื่อสารเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความอยากรู้ อยากเห็น เร้าอารมณ์ ก่อให้เกิดความรู้สึกคล้อยตาม และเกิดความประทับใจในคุณภาพและบริการ
3.3 จูงใจให้เกิดความพึงพอใจในสินค้าและบริการ - การโฆษณานี้ต้องสร้างภาพพจน์ของสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับความพึงพอใจของผู้บริโภคดยเอาจุดเด่นของสินค้าและบริการมาสร้างสรรค์งานโฆษณา
3.4 จูงใจให้เกิดความภูมิใจในสินค้าและบริการ - การโฆษณาในลักษณะนี้มักนำเอาบุคคลสำคัญ และเป็นที่รู้จักมาเป็นแบบในโฆษณา เพื่อให้ผู้บริโภคทั่วไปเห็นว่า บุคคลสำคัญยังใช้สินค้าและบริการชนิดเดียวกับตน จึงเกิดความ
ภาคภูมิใจเมื่อใช้สินค้าและบริการนั้น

              


เรื่องที่1 ความหมายของงานโฆษณา

    ความหมายของงานโฆษณา ความหมายของ "โฆษณา" มีการให้คำนิยามที่แตกต่างกันไป ซึ่งสามารถสรุปรวมเป็นความหมายของการโฆษณาได้ว่า
      
     การโฆษณา หมายถึง การเสนอ ข่าวสารการขาย หรือ แจ้งข่าวสารให้บุคคลที่เป็นกลุ่มเป้าหมายทราบเกี่ยวกับสินค้า บริการ หรือแนวความคิด โดยเจ้าของสินค้า หรือผู้อุปถัมภ์ที่เปิดเผยตัวเองอย่างชัดแจ้ง มีการจ่ายเงินเป็นค่าใช้สื่อ และเป็นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ไม่ได้ใช้บุคคลเข้าไปติดต่อ โดยตรง